Wikipedia

Search results

Uthid

Massage To Print

จุลินทรีย์


Fossil


การหมัก คือ กระบวนการแปลงสภาพทางชีวเคมี เพื่อให้วัตถุดิบเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ โดยอาศัยการทำงานของเอนไซม์ของจุลินทรีย์ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมัก เช่น ไวน์ เบียร์ ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว ยาปฏิชีวนะ เอทานอล กรดซิตริก เป็นต้น ในกระบวนการหมักต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตซึ่งเรียกว่า จุลินทรีย์ (Microorganisms) ซึ่งมี ...


กระบวนการหมักกับกรดอินทรีย์


  กระบวนการหมัก(fermentation) เป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่ทำให้เกิดกรดอินทรีย์ขึ้น การหมักเป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน "fervere" แปลว่า "เดือด" ซึ่งครั้งแรกใช้เพื่ออธิบายลักษณะที่เกิดจากการกระทำของยีสต์ในน้ำสกัดจากผลไม้หรือเมล็ดข้าวมอลท์ เนื่องจากยีสต์ย่อยสลายน้ำตาลภายใต้สภาวะไม่มีออกซิเจน ทำให้เกิดฟองแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ผุดขึ้นมาเหมือนน้ำเดือด
      นักชีวเคมี และนักจุลชีววิทยาอุตสาหกรรมได้นำคำว่าการหมักมาใช้ในความหมายที่แตกต่างกันไปดังนี้

1.ทางชีวเคมี
        การหมัก หมายถึง การสร้างพลังงานจากกระบวนการย่อยสลายสารประกอบอินทรีย์ หรือ การเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสารประกอบอินทรีย์เนื่องจากเอนไซม์ โดยมีสารอินทรีย์เป็นทั้งตัวให้และตัวรับอีเล็กตรอน เป็นกระบวนการแบบไม่ใช้ออกซิเจน

2.ทางจุลชีววิทยาอุตสาหกรรม
       การหมัก หมายถึง กระบวนการผลิตผลผลิตใดๆ ก็ตามที่ได้จากการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์จำนวนมาก (mass culture) ซึ่งจะครอบคลุมทั้งกระบวนการแบบใช้และไม่ใช้ออกซิเจน

กระบวนการหมักน้ำหมักชีวภาพ

      น้ำหมักชีวภาพ คือ กระบวนการหมักแบบไม่ใช้ออกซิเจน จุลินทรีย์ที่พบมากในน้ำหมักชีวภาพ ได้แก่
จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลกติก
    จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลกติกเป็นจุลินทรีย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการหมัก นอกจากนี้แบคทีเรียผลิตกรดแลกติกยังสามารถเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นกรดแลกติกได้โดยปราศจากการสร้างผลพลอยได้ (by product)

กรดอินทรีย์ที่พบในน้ำหมักชีวภาพ

1.กรดแลกติก(กรดน้ำนม)
โดยทั่วไปได้จากการหมักในอุตสาหกรรมอาหารและทำหน้าที่ในการถนอมอาหารหลายชนิด เช่น การหมักผัก เช่นกะหล่ำดอง แตงกวาดอง เนยแข็ง ในช่วงของการบ่มเป็นต้น ดังนั้นปริมาณกรดแลกติกในน้ำหมักจึงมีผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยในการนำผลิตภัณฑ์นี้ไปใช้เพื่อการบริโภค

2.กรดอะซิติก (กรดน้ำส้มสายชู)
เป็นกรดอินทรีย์ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำส้มสายชู ได้จากอุตสาหกรรมอาหารที่ผลิตโดยใช้วิธีการหมัก
แบคทีเรียกลุ่มอะซีโตแบกเตอร์ เป็นแบคทีเรียกลุ่มที่ผลิตกรดอะซิติกได้สูง ทนกรดได้ดี แบคทีเรียกลุ่มนี้ตายง่าย หลังจากที่ผลิตกรดอะซิติกและอยู่ในสภาพที่ขาดออกซิเจน

    นอกจากนั้นแบคทีเรียกลุ่มนี้สามารถออกซิไดซ์เอทานอลให้เป็น acetaldehyde โดย alcohol dehaydorgenase enzyme ต่อจากนั้น acetaldehyde จะรวมตัวกับน้ำได้เป็น cetaldehyde hydrate ซึ่งจะถูก ออกซิไดซ์เป็นกรดแลกติก โดยกรดอะซิติกจะทำหน้าที่เป็นสารถนอมอาหาร (preservative) และปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง(pH) ของน้ำหมัก เพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อก่อโรคอื่นๆ

    เนื่องจากจุลินทรีย์สามารถเติบโตได้ในอาหารแต่ละประเภทที่แตกต่างกันทั้งนี้เพราะจุลินทรีย์แต่ละชนิดเจริญได้ดีในสภาพความเป็นกรดด่างต่างกัน

จุลินทรีย์ก่อโรค ส่วนใหญ่เจริญได้ที่ค่าความเป็นกรด-ด่าง ใกล้เคียง 7 (6.5-7.5)

รา มีค่าความเป็นกรด-ด่าง เหมาะสมในการเติบโตระหว่าง 5.6-6.5

ยีสต์ มีค่าความเป็นกรด-ด่าง เหมาะสมในการเติบโตระหว่าง 4.0-5.0

แบคทีเรีย มีค่าความเป็นกรด-ด่าง เหมาะสมในการเติบโต ระหว่าง 6.0-7.5

จึงสรุปได้ว่า

     ค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำหมักชีวภาพแสดงถึงคุณลักษณะความปลอดภัยจากจุลินทรีย์ก่อโรค ในการบริโภคน้ำหมักชีวภาพที่ได้จากการผลิต
    ชนิดและปริมาณกรดอินทรีย์ที่แตกต่างกันในน้ำหมักชีวภาพอาจเนื่องมาจากวัตถุดิบที่ใช้ สูตรที่ใช้ในการผลิต กระบวนการผลิต ตลอดจนการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ ปัจจัยเหล่านี้ มีผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยของน้ำหมักชีวภาพ
    ความเป็นกรดในน้ำหมักชีวภาพส่งผลให้จุลินทรีย์ก่อโรคไม่สามารถเจริญได้เนื่องจากในน้ำหมักชีวภาพมีค่าความเป็นกรด-ด่าง น้อยกว่า 4.00 ดังนั้นความเป็นกรดดังกล่าวจึงช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต หรือกำจัดจุลินทรีย์ก่อโรคหลายชนิด

*** จากการที่ป้าบอกว่า หมักเกินสิบปีเป็นมหาบำบัดเพราะสาเหตุนี้ จะเห็นว่าน้ำมหาบำบัดของป้ามีรสกลมกล่อมและปรับสมดุลย์ร่างกายของผู้ที่สมดุลย์บกพร่อง(เป็นโรค)ทั้งหลายก็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน***
จุลินทรีย์ จุลินทรีย์ Reviewed by Uthid on May 22, 2020 Rating: 5

No comments:

Powered by Blogger.